ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คงจะดีถ้า...

เวลาเจอปัญหาอะไรต่าง ๆ ในชีวิต
เคยคิดคำนี้ไหมคะ
มันคงจะดีถ้า........

และเมื่อเรื่องราวเกิดขึ้นกับคนรักของเรา
ส่วนใหญ่ก็คงจะคิดว่า
มันคงจะดีถ้าเค้าไม่เป็นแบบนี้
มันคงจะดีถ้าฉันไม่คบกับคุณ
มันคงจะดีถ้าฉันไปจากคุณ
มันคงจะดีถ้าุคุณพบคนอื่น
แล้วผลที่ตามมาคือ น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม หรือความรู้สึกแย่ที่เพิ่มขึ้น

มันคงจะดีถ้าเราเลิกคิดแบบนี้นะคะ
เพราะนั่นเรากำลังสร้างความคิดด้านลบให้กับตัวเอง
มองโลกตามสิ่งที่เราอยากให้เป็น
และผิดหวังเมื่อมันไม่เป็นแบบนั้น

หันกลับมามองโลกตามความเป็นจริง
หากเกิดเหตุอะไร
สงบใจ สงบปาก สงบคำ สงบกาย
มองพิจารณาเฉพาะเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ปรุงต่อ
เลิกคิดว่า มันคงจะดี...
รู้เพียงว่า ตอนนี้ใจตัวเองเป็นเช่นไร
สมองคิดสิ่งใดอยู่
ปาดน้ำตาทิ้งแล้วยิ้มให้กับตัวเองว่า
โลกจะเป็นอย่างไรก็ช่างโลก
ใจเราสงบเย็นเป็นพอ และเราไม่มีเวลาจะมาคิดมากกับโลกภายนอกแล้ว
การเรียนรู้โลกในใจเราเป็นเรื่องมีขีดจำกัดนะคะ
คือเมื่อเรียนรู้ถึงจุดนึงแล้ว จะจบ นั่นคือรู้ทันกิเลสในใจตน
แต่เรื่องทางโลกไม่มีวันจบ มีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

เรียนเรื่องโลกแล้วมีน้ำตา
แต่เรียนเรื่องใจของตนจะมีแต่น้ำใจ
น้ำใจที่คิดถึงผู้อื่นไม่คิดเอาเข้าตัว
เข้าใจโลก เข้าใจผู้อื่น เข้าใจตนเองได้อย่างแท้จริง

มันคงจะดีถ้าทุกคนมุ่งรับปริญญาทางการรู้นะคะ :)

ละอองบุญ

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Talk

เวลาอยู่ด้วยกัน
การพูดจาเป็นกิริยาอาการที่แสดงออกต่อกันมากที่สุด
และยังทำให้รับรู้ถึงความคิดได้มากที่สุด

แต่การใช้วาจา
ก็ทำให้บางครั้งเราเข้าใจกันน้อยลงหรือไม่เข้าใจกันเลย
เพราะอะไร ?

ครูอาจารย์เคยสอนว่า
คู่ที่คุยกันด้วยความเข้าใจผิดเสมอ คือ คู่ที่ไม่เคยคุยกันเลย
การคุยกันควรคุยกันแล้ว เข้าใจกันมากขึ้น รักกันมากขึ้น
เพราะเราควรคุยกันด้วยการเอาใจใส่ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย
นึกถึงใจเขาใจเรา และคุยด้วยเมตตา
เพื่อพัฒนาความเข้าใจในคู่ของเรา มากกว่าจะคุยเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ

เป็นปกตินะคะ ถ้าเราจะคุยกันแล้วบางครั้งทะเลาะกัน
แต่ถ้าเอาเนื้อหานั้น ๆ มานั่งนึก คิด หาเหตุผล
ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการคืออะไร แล้วทะเลาะกันเพราะอะไร
ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนา สิ่งต่าง ๆ
เพราะไม่ว่าจะผ่านไปสักแค่ไหน
ทุกคนย่อมมีความคิดใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ
มีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาไปของความคิดตลอดอยู่แล้ว
ดังนั้นการคุยกันด้วยความเข้าใจ
จะทำให้คนสองคนเติบโตไปพร้อม ๆ กัน
ลดความทะเลาะ ลดความไม่พอดีกันลงไปได้
ด้วยการคุยกันด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

อีกสาเหตุของการทะเลาะกัน นั่นก็คือ การไม่ได้ฟังกันอย่างลึกซึ้ง
คือ ฟังเพียงผ่าน ๆ ไม่ได้ตั้งใจที่จะรับฟัง
ซึ่งบางครั้ง อาจทำให้ ความเข้าใจกันผิดเพี้ยน
ก่อเป็นปัญหาทะเลาะกันใหญ่โต ต่อเมื่อมานั่งฟังกันอย่างตั้งใจ
อาจจะพบว่า ที่ทะเลาะกันมานั้น สุดท้ายก็เข้าใจกัน ไม่รู้ที่ทะเลาะกันเพราะอะไร

คำพูดที่จะใช้ก็สำคัญเช่นกันนะคะ
อย่าคิดว่าคนใกล้ชิด ความสนิท จะทำให้คุณใช้คำพูดแบบใดก็ได้
รักษาน้ำจิตน้ำใจของคนที่คุย
ระลึกไว้ว่า คนที่คุยอยู่ตรงหน้าคุณ เป็นคนสำคัญที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
จะทำให้เราพัฒนาคำพูด ลักษณะการพูดคุย ให้เหมาะสมได้ในที่สุดค่ะ

ละอองบุญ

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ข้อแม้

คนเราเวลาทำอะไรชอบสร้างข้อแม้
โดยเฉพาะบุคคลใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง คนรัก
ถ้าไม่....... ฉันก็จะ........
ถ้าเธอไม่มาหา ฉันก็จะน้อยใจ
ถ้าพ่อไม่ให้ หนูก็จะไม่สอบเข้าที่นี่ (เป็นต้น)

การสร้างข้อแม้ให้กับตัวเอง
มักก่อให้เรากลายเป็นคนที่ต้องการการตอบแทนก่อนจะทำสิ่งใด
สร้างความโลภให้เกิดภายในใจได้ไม่ยาก
และก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวได้ง่ายดายเช่นเดียวกัน

ข้อแม้ระหว่างคนรัก
มักทำให้ความสัมพันธ์มีเงื่อนไข
กลายเป็นความรักที่หวังตอบแทน รักด้วยความคาดหวัง
ก่อเกิดเป็นปมขึ้นมาภายในหัวใจไม่เราก็เค้าหรือทั้งสองคน
ว่าถ้าหากวันนึง เราไม่ทำตามเงื่อนไขหรือข้อแม้นั้น
เธอจะยังรักฉันอยู่รึเปล่า
ซึ่งการคิดแบบนี้ ก็เหมือนลำธารรักสายหนึ่ง
ที่มีเกาะแก่งโขดหินแห่งเงื่อนไขอันใหญ่ขวางกั้น
กว่าจะทะลวงออกไปสู่แม่น้ำสุดกว้างได้นั้น
ก็ต้องใช้พลังงานมหาศาลกับโขดหินแห่งเงื่อนไขนั้น
หากบางครั้งเหนื่อยที่จะทะลวงเกาะแก่งก็อาจจะยอมเป็นเพียงแอ่งน้ำเล็ก ๆ
ที่ไม่มีวันได้ออกไปสู่แม่น้ำของความรักแท้อันบริสุทธิ์ได้เลย

ข้อแม้เพียงอย่างเดียวที่ควรมี
คือ ถ้าเธอจะไม่รักฉัน ฉันก็จะยังมีความสุขอยู่ได้กับการรักเธออย่างจริงใจ
นั่นก็คือ ความเมตตาในรัก
เมตตาในตัวเอง เคารพตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง
เพื่อที่จะได้รักได้อย่างปราศจากเงื่อนไข ไร้ข้อแม้นั่นเอง :)

ละอองบุญ